HIFU เป็นโปรแกรมความงามที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว เพราะเป็นโปรแกรมที่ฮิตมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วันนี้หมอเนิสจึงอยากมาอธิบายเจาะลึกว่า HIFU คืออะไร มีข้อดีอย่างไร และเหมาะกับการแก้ปัญหาเรื่องอะไรค่ะ
HIFU คืออะไร ?
คือ High Intensity Focus Ultrasound เป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดความร้อนสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส จำนวนนับ 1,000 ครั้ง ในช่วงเวลาเพียง 0.1 – 1 วินาที ลงลึกถึงใต้ชั้นผิวหนัง ณ บริเวณชั้นพังผืดที่รองรับเนื้อเยื่อของผิวหนังหรือ SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System)
ด้วยพลังงานที่ลงลึกถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ผ่าตัดดึงหน้า พลังงานจะลงไปทำให้เส้นใยพังผืดหดกลับ ทำให้เกิดการหดตัวที่ชั้น SMAS ขนาดเล็ก คล้ายการเย็บเนื้อ คล้ายกับการเย็บที่เนื้อ ละเอียดกว่าการร้อยไหม ทำให้เกิดการสร้างใหม่ของผิวที่ยกกระชับดูอ่อนเยาว์ ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
มีการยืนยันความปลอดภัยของนวัตกรรมนี้โดยผลวิจัยทางการแพทย์มากมาย และทางองค์การอาหารและยาก็รับรองนวัตกรรมนี้เช่นกันค่ะ
HIFU ช่วยเรื่องอะไร?
ช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก ผิวหน้าหย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอยมาก อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวสวยโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด รวมถึงการยกกระชับใบหน้าหรือยกแนวคิ้วให้ขึ้น และผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย ลดปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ลดเหนียงใต้คางหรือลดคางสองชั้น
การรักษาจะเป็นแบบ Single Treatment ผลการรักษาสามารถคงอยู่ได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน-1 ปี และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำการรักษา โดยไม่ต้องพักฟื้นผิว
ผิวจะมีความเรียบเนียนขึ้นตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหลังการใช้บริการและสภาพผิวของแต่ละคนอีกด้วย
เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว ปรับใบหน้าเรียว โดยไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ กรอบหน้าไม่ชัดเจน
- ผู้ที่มีปัญหาแนวคิ้วตก
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าใหญ่ เนื่องจากไขมันสะสมบริเวณแก้ม หรือมีปัญหาคาง 2 ชั้น และมีไขมันสะสมส่วนเกิน
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา หรือ ร่องลึกบนใบหน้า เช่น หน้าผาก ร่องแก้ม
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ขาดความเนียนกระจ่างใส
โดยสรุปจะเหมาะสำหรับคนที่มีอายุ 25-35 ปี ที่ไม่ค่อยมีริ้วรอยและเน้นให้ผิวกระชับและเนียนนุ่มเป็นพิเศษ แต่ถ้าใครที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปแนะนำให้ทำตัว Ulthera จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าค่ะ
ข้อดีของการทำ HIFU
ราคายังไม่แพงมาก ทำได้บ่อยครั้งและหลังการทำยังสามารถทำการรักษาอย่างอื่นอีกได้ ผู้ที่ทำจะรู้สึกอุ่นๆ บนผิวขณะทำ ผิวจะไม่แสบร้อนและไม่ต้องใช้ยาชา ทำให้ผู้ที่เข้ารับการบริการไม่รู้สึกเจ็บหลังจากการทำ และสามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เนื่องจากไม่มีบาดแผลและไม่ต้องพักฟื้นนั่นเอง
หลังการทำอาจมีรอยแดงบ้างหลังการทำ ซึ่งก็พบแค่เพียงบางราย แต่จะหายไปได้เองภายใน 1 – 2 ชั่วโมง
ขั้นตอนการทำ
- ทำความสะอาดหน้าและเครื่องสำอางออกให้หมด (กรณีทำที่หน้า)
- ลงเจลที่หน้าต่อเพื่อเป็นตัวนำหรือสื่อกลางในการส่งผ่านคลื่นยกกระชับผิวเข้าสู่ผิว
- คุณหมอใช้เครื่องในบริเวณที่ต้องการแก้ปัญหา โดยการทำแต่ละครั้งนั้นจะใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
- เมื่อเสร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำความสะอาดพร้อมลงครีมบำรุงและครีมกันแดดให้
ความรู้สึกขณะทำ
ระยะเวลาในการทำการรักษาแต่ละครั้งนั้นประมาณ 40-60 นาที โดยตลอดการทำนั้น จะมีความรู้สึกสบายผิว ไม่มีอาการแสบร้อน และเนื่องจากพลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ที่มีความถี่สูงถึง 1,000 ครั้ง/วินาที จนเซลล์ประสาทไม่สามารถสัมผัสได้ จึงทำให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่รู้สึกเจ็บ จะรู้สึกเพียงความอุ่นเล็กน้อยในบริเวณผิวที่ทำการรักษา จึงไม่จำเป็นต้องฉีดยาชาเหมือนโปรแกรมความงามอื่นๆค่ะ
ราคาการทำต่อครั้ง
ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของหน้าและจำนวนช็อตของการยิงเลเซอร์ ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้วยว่าจะต้องรักษาจำนวนกี่ครั้ง โดยทาง ROSES CLINIC แนะนำให้ดูเป็นกรณีๆไปค่ะ ว่าต้องการเน้นเรื่องไหน การแก้ปัญหาแต่ละเรื่องก็จำเป็นในการใช้จำนวนช็อตที่แตกต่างกันไป เช่น
- ยกคิ้ว หนังตาตก ใช้ 100 SHOT
- เก็บเหนียง ใช้ 200 SHOT
- ยกกระชับต้นแขน ต้นขา ใช้ 300 SHOT
- สลายไขมันหน้าท้อง ใช้ 300 SHOT
ราคาในการทำก็ไม่แพงเลย แพ็คเกจของทาง ROSES CLINC จะเริ่มต้นที่ 100 SHOT ซึ่งราคาแพ็คเกจ 100 SHOT ของคลีนิกเริ่มต้นที่ 2,900 บาทเท่านั้นเองค่ะ (ต้องการดูแพ็คเกจ HIFU ของคลีนิก คลิกที่นี่)
วิธีการดูแลตัวเองก่อนทำ
- ดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เนื่องจากจะช่วยเอื้อต่อการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ใหม่เป็นไปได้ด้วยดี
วิธีการดูแลตัวเองหลังทำ
ควรใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อบำรุงผิวที่เกิดขึ้นใหม่ให้คงอยู่ได้อย่างยาวนาน ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ แล้วหลีกเลี่ยงแสงแดด หากมีอาการเมื่อยหรือตึงผิวก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ นอกจากนี้ไม่ควรนวดหรือถูใบหน้าแรงๆ รวมทั้งไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นการทำลายการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง